เทศน์บนศาลา

ธรรมะปรากฏเป็นจริง

๒๖ ธ.ค. ๒๕๕๑

 

ธรรมะปรากฏเป็นจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มันมีอยู่โดยดั้งเดิม” มันมีอยู่แล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้องค์ที่ ๕ พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม” แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มา เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ

ขณะที่ยังไม่ตรัสรู้ขึ้นมา ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมแต่ไม่มีใครมีวุฒิภาวะ ไม่มีความสามารถจะเข้าไปสัมผัสธรรมอันนี้ได้ ทั้งๆ ที่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมมีอยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจไง อยู่ที่ความรับรู้ความสัมผัส ทุกข์ร้อนเศร้าโศกเสียใจขนาดไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ เป็นทาสของมัน ยอมรับความเศร้าโศกเสียใจอันนั้น แล้วก็ยอมให้มันบีบบี้สีไฟ ให้ใจของเราอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหาความทะยานอยากตลอดไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมนะ แต่เพราะต้องมีบุญญาธิการ ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมแต่คนไม่เคยสนใจ ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยแสวงหามา ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัตินะ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ ก็มีอยู่ ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดาทั้งนั้น เป็นผู้สั่งสอนเห็นไหม

ดูอาฬารดาบสสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามาเห็นไหม “เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา เป็นผู้สั่งสอนได้เหมือนเรา..” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธไม่ยอมรับ เพราะทำฌานสมาบัติมันก็ได้แค่นั้น มันทำความสงบของใจได้เท่านั้น ใจแค่สงบลง เวลาคลายตัวออกมา มันก็เผชิญกับความสุขความทุกข์อยู่โดยธรรมชาติของมัน เห็นไหมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ ทั้งๆ ที่มีศาสดา มีผู้ค้นคว้า มีผู้สนใจไง

เหมือนในปัจจุบันนี้ก็มีผู้สนใจมีผู้ค้นคว้าอยู่เห็นไหม แต่ทำไมมันเข้าไม่ถึงสัจธรรมความจริงล่ะ ดูสิ ปรากฏการณ์ตามความเป็นจริงเห็นไหม เราต้องมีปรากฏการณ์ที่เป็นความจริง เป็นนโยบายความตั้งโครงการขึ้นมา แล้วทำให้ประสบความสำเร็จขึ้นมา เป็นปรากฏการณ์จริงๆ ขึ้นมา แต่ปรากฏการณ์ของกิเลสไง ปรากฏการณ์ความเป็นเท็จ มันทำไปแล้ว ทั้งๆ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม วางธรรมวินัยเอาไว้แล้วนะ เราประพฤติปฏิบัติกันนี่ยังเป็นปรากฏการณ์ของกิเลส ที่มันหลอกลวงเราตลอดมา แต่ปรากฏการณ์ความเป็นจริงล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า... คืนวันเพ็ญเดือน ๖ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามรื้อค้น ไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ มา ๖ ปี สุดท้ายแล้วย้อนกลับมาด้วยอำนาจวาสนา “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม” มีอยู่แล้ว ! ของมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครมีความสามารถที่จะไปรื้อค้นสิ่งนี้ได้ ไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปีนะ ถึงที่สุดนึกระลึกถึงตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเด็กอยู่ พระเจ้าสุทโธทนะพาออกไปทำแรกนาขวัญเห็นไหม

นั่งอยู่โคนต้นหว้า กำหนดความรู้สึกอันนั้น ความรู้สึกที่โคนต้นหว้า ขณะที่กำหนดอานาปานสติมันมีความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ความร่มเย็นเป็นสุขนั้นเป็นพื้นฐาน เวลาไปศึกษากับอาฬารดาบส อาฬารดาบสบอกว่า “ได้สมาบัติ ๘ เหมือนเรา เป็นผู้สั่งสอนได้เหมือนเรา” ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอาสมาบัติ ๘ นั้นมาประพฤติปฏิบัติล่ะ ทำไมคิดถึงโคนต้นหว้านั้นเห็นไหม

สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธินะมันเป็นกลาง มันเป็นกลางของมัน เป็นกลางนี่ยังไม่มีมัชฌิมาปฏิปทานะ มัชฌิมาปฏิปทานี่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทางสายกลาง ทางสายกลางเพราะมีความรู้จริง ปรากฏตามความเป็นจริง ธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ปรากฏตามความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การปรากฏ ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริง เป็นจริงเพราะเหตุใด มันมีสิ่งใดให้เกิดความเป็นจริงขึ้นมา มันรื้อค้นมา ดูสิ ใจของเราโดนมารโดนอวิชชาครอบงำอยู่ สิ่งที่ครอบงำอยู่เหมือนโลกเลย โลกเห็นไหม โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งเป็นธรรมชาติ สภาวะธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวะธรรมชาติมันเป็นธรรมชาติของมันเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนมาถึงความเป็นกลางของสัมมาสมาธิ ความเป็นกลางของโคนต้นหว้านั้น ระลึกถึงโคนต้นหว้านั้นด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบุญญาธิการ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แต่เจ้าลัทธิต่างๆ ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นศาสดานั้น เป็นการตรัสรู้โดยไม่ชอบ ! ไม่ชอบมันถึงไม่มีความเป็นจริง ไม่ชอบมันถึงไม่ได้ชำระกิเลส เพียงแต่ครอบงำกันไว้เฉยๆ

สิ่งต่างๆ ทำฌานสมาบัติ ทำความสุขของใจเท่านั้น แล้วก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดาๆ ศาสดาสอนมามันชำระกิเลสได้ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมาหมด ไปทดสอบมาแล้ว ปฏิเสธมาแล้วทั้งหมด ถึงย้อนกลับมาถึงโคนต้นหว้า ด้วยอำนาจวาสนาบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ตั้งแต่เกิดที่ลุมพินีวันเห็นไหม “เราเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่เกิดอีก” ทั้งๆ ที่พึ่งเกิดนะ พึ่งเกิดก้าวย่างไป ๗ ก้าว ปฏิญาณตนว่าเราจะไม่เกิดอีกเลย

นี่ชาติสุดท้ายนี่มีอำนาจวาสนา ขนาดที่มีอำนาจวาสนานะ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระเจ้าสุทโธทนะก็ให้ไปศึกษาตำราเล่าเรียนทางวิชาการ เพื่อจะเป็นจักรพรรดิ นี่ สิ่งที่เป็นชาติสุดท้ายแต่ก็ยังต้องวนไปในโลกเห็นไหม ในโลกเพราะว่าสิ่งที่เกิดในตระกูลนั้นใช่ไหม ถึงสุดท้ายแล้วเข้าไปเที่ยวสวน ไปเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย… “สิ่งนี้มีด้วยหรือ”

คนที่มีการศึกษามาขนาดนั้น ทำไมสิ่งนี้ไม่เห็นล่ะ สิ่งนี้ไม่เข้าใจล่ะ แต่พอเข้าใจแล้วมันกระเทือนเพราะอะไร เพราะบุญญาธิการ เพราะพระโพธิสัตว์ ชาตินี้ชาติสุดท้าย มันสะเทือนหัวใจต้องหาทางออกจากการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนั้นเห็นไหม ออกประพฤติปฏิบัติ ไปแสวงหามากับเขา สิ่งที่ว่าเป็นชาติสุดท้าย แต่ถ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เองโดยชอบ มันก็มีความทุกข์นะ

เวลาจะออกบวชเห็นไหม สามเณรราหุลเกิดแล้ว ความละล้าละลังนะ ใจละล้าละลัง ใจของเรานะ ต้องใช้วุฒิภาวะของผู้ที่สร้างบุญญาธิการ มีความรับผิดชอบเป็นสุภาพบุรุษ สิ่งต่างๆ มันมีความรับผิดชอบสูงมาก แล้วสิ่งที่เราต้องละไป มันกระชากหัวใจไหม ละล้าละลังนะ ลูกก็เกิดแล้ว ภรรยาก็นอนอยู่นั่น แล้วเราจะออกไปอย่างไร ด้วยความคิดที่ผูกพันทางโลกในเมื่อเกิดมาจะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ปฏิญาณตนว่าเป็นชาติสุดท้ายแต่ก็ยังละล้าละลัง เพราะความผูกพันนี่คือกรรมเห็นไหม แต่ต้องไปเพราะสร้างบุญญาธิการมา

สิ่งที่สร้างบุญญาธิการมา ปรารถนามาเป็นพระโพธิญาณ ต้องออกแสวงหา ออกไปแสวงหา ๖ ปีก็ยังไปทุกข์ไปยาก ไปรื้อค้น เพราะการรื้อค้นการกระทำมันต้องมีการทดสอบ การตรวจสอบต่างๆ ว่าถูกต้องจริงจังได้ขนาดไหน ไปศึกษามาขนาดไหนมาทรมานตนนะ อดอาหารต่างๆ ทรมานจนขนนี้เน่าหมดเลย ขนนี้หลุดหมดเห็นไหม เพราะเอาจริงเอาจัง สลบถึง ๓ หนนะ

ในเมื่อองค์ศาสดาของเราลงทุนลงแรงขนาดนี้ สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบุญญาธิการมามหาศาล แต่การรื้อค้นการต่อสู้เห็นไหม การต่อสู้ ความเพียรชอบมันต้องมีการกระทำ ความเพียรชอบแล้วเราประพฤติปฏิบัติ ความเพียรชอบของเราทำไมไม่สมตามความเป็นจริง ความเพียรชอบแต่กิเลสของเราเห็นไหม นี่ปรากฏการณ์ของกิเลส ปรากฏการณ์ความเป็นเท็จ ปรากฏการณ์ต่างๆ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานั่งอยู่โคนต้นโพธิ์เห็นไหม “คืนนี้ถ้าเราไม่ตรัสรู้ เราจะไม่ลุกจากโคนต้นโพธิ์นี้” สละเป็นสละตายแล้วเอาความจริงเข้าต่อสู้ เห็นไหม แต่เราทำจริงไหม เวลาตั้งสัจจะขึ้นมาในเข้าพรรษา เราตั้งสัจจะขึ้นมาว่าเราจะถือธุดงควัตร เราจะถือเนสัชชิก เราถือต่างๆ เราตั้งความเป็นจริงไหม ถ้าถึงออกพรรษาแล้วความเป็นจริงนั่นมันสมประกอบ มันสมตามที่เราปรารถนาไหม

มันไม่สมปรารถนา เพราะนี่ไง เพราะสิ่งที่การกระทำ มันมีความเพียรชอบของเรา แต่ตัณหาความทะยานอยากโดยกิเลส ปรากฏการณ์ของกิเลส มันทำบิดเบือนให้ความเพียรนั้นมันไม่ชอบ ไม่ชอบด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ชอบเห็นไหม ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะนี้ความเป็นจริงมีอยู่ แต่มันไขว้เขวไป เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “คืนนี้ ถ้าเรานั่งแล้ว ถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ลุกจากที่นั่งเลย” ปฐมยามเห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตมันสงบเข้ามานึกถึงโคนต้นหว้ากำหนดอาปานสติ นี่ไง ! ปรากฏการณ์นะ ปรากฏการณ์ของบุพเพนิวาสานุสติญาณ ปรากฏการณ์ของมัน ปรากฏการณ์ทางจิต รื้อค้นเห็นข้อมูล สาวไปตั้งแต่เป็นพระเวสสันดรต่างๆ นั้น ๑o ชาติไป นี่ปรากฏการณ์ทางโลก

ดูปรากฏการณ์ทางโลกสิ ปรากฏการณ์ทางโลกเห็นไหม หัวใจน่ะ ภวาสวะ ภพ ภพต่างๆ ปรากฏการณ์ทางโลก ดูปรากฏการณ์ธรรมชาติของโลกเห็นไหม ดูสิ ดูอย่างแผ่นดินไหว อย่างเกิดวาตภัย นี่ปรากฏการณ์ทางโลกมันเกิดมาจากไหน ปรากฏการณ์ทางโลกน่ะ พลังงานที่มันสะสมมาในโลกเห็นไหม เปลือกของโลกมันเคลื่อน เปลือกของโลกคือมีการเกิดแผ่นดินไหว นี่ปรากฏการณ์ตามความเป็นจริงนะ นี่ไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ..

ปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วเราได้อะไรขึ้นมา ถ้าปรากฏการณ์ธรรมชาติ เราเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์นั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์นั้น ปรากฏการณ์ธรรมชาติทำให้เราเสียชีวิตได้นะ ดูแผ่นดินไหวแต่ละหนเห็นไหม มันกวาดต้อนคนตายเป็นเท่าไหร่ ปรากฏการณ์ธรรมชาติทำให้เราตายได้ ถ้าเราตายไป ปรากฏการณ์ธรรมชาติคือเรื่องโลก แล้วเราเกิดมาในโลก แล้วเราตายไปโดยปรากฏการณ์อันนั้น สิ่งนั้นทำให้เราเสียชีวิตไป

แต่ถ้าเราศึกษาเห็นไหม ในปัจจุบันนี้ทางวิทยาศาสตร์พอเราเข้าใจ แผ่นดินไหว คนโบราณนะแผ่นดินไหว กราบภูเขา กราบไฟต่างๆ เพราะยังไม่มีการศึกษา ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีความรู้ ความรู้ในปัจจุบันเราเข้าใจว่า มันเป็นการที่เปลือกโลกมันเคลื่อน มันเกิดภาวะปรากฏการณ์ธรรมชาติ เรารู้ขึ้นมา เราศึกษาขึ้นมา นี่เราก็รู้แล้ว รู้แล้วเราแก้กิเลสได้ไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปรากฏการณ์ของจิต บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตนี้มันย้อนอดีตชาติไปตลอดไปเห็นไหม ถึงไม่มีต้นไม่มีปลาย คือสาวแล้วเป็นแสนๆ ชาติ ล้านๆ ชาติ ปรากฏการณ์อันนี้มันมหาศาลเห็นไหม เวลาเกิดแผ่นดินไหว ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวน่ะ ทำให้เราเสียชีวิตไป

ชีวิตเรานะปรากฏการณ์ของจิต จิตดวงนี้มันยังเวียนไปในวัฏฏะ วัฏฏะมันก็ยังเวียนตายเวียนเกิดไปนะ ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละบุคคล เป็นการกระทำธรรมชาติ กับบุญกรรมของเรา ปรากฏการณ์ทางจิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นสภาวะการเกิดและการตาย เห็นของอดีต เห็นสิ่งที่เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือสมบัติเดิม คือสิ่งที่เราเคยเกิดมาแล้ว สิ่งที่เป็นข้อมูลเดิมเห็นไหม ปรากฏการณ์อย่างนี้

เวลาแผ่นดินไหวนะ เมืองทั้งเมือง ลาวา ภูเขาไฟ มันกลบเมืองทั้งเมืองไปเลย คนก็ตายเปล่า ตายไปในวัฏฏะ ตายไปด้วยบุญด้วยกรรม เห็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ปรากฏการณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์อะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงย้อนกลับว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรม สิ่งที่เห็นนี้ไม่ใช่ธรรม”

แต่ในปัจจุบันนี้ ในการประพฤติปฏิบัติ ในปัจจุบันของเรา ใครรู้สิ่งใดต่างๆ ใครมีความเห็นต่างๆ มีความตื่นเต้นมาก อยากรู้นัก ! เรื่องการเกิดและการตาย อดีตอนาคต เรื่องนรกสวรรค์ อยากรู้อยากเห็นนัก !

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นนะ เห็นสิ่งตั้งแต่ย้อนกลับตลอด มันเพราะมีบุญญาธิการนะ เพราะสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์นะ เวลาเห็นสิ่งต่างๆ มันถึงไม่ตื่นเต้น เห็นไหม เวลาเจ้าชายสิทธัตถะอธิษฐานตั้งแต่โคนต้นโพธิ์ว่า “คืนนี้ ถ้าเรานั่งลงที่นี่ แล้วถ้าไม่ได้ตรัสรู้ เราจะไม่ยอมลุกจากโคนต้นโพธิ์นี้ เราจะสละชีวิต สละเป็นสละตายไปเลย”

แต่ถ้าในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราไปเห็นสิ่งต่างๆ เห็นนิมิต เห็นความรู้ต่างๆ เราก็ตื่นเต้นเห็นไหม เราตื่นเต้น เราไม่มีหลักสิ่งใดๆ เลย แล้วปรากฏการณ์คือหลักของใจ มันอ่อนแอขนาดนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมาแล้วนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกอดีตชาติได้ การเห็นการเกิดมาแต่อดีตชาติน่ะ มันเป็นอะไร มันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย นี่ ! มันไม่เป็นประโยชน์กับอริยสัจ กับสัจจะความจริง !

แต่ในปัจจุบันนี้คนไปตื่นเต้น คนไปรับรู้ คนไปอยากรู้อยากเห็น เห็นไหม อยากรู้อยากเห็น นี่ไง ปรากฏการณ์โดยกิเลส ทำให้จิตใจในการประพฤติปฏิบัติของเรานี้ไม่ได้หลักได้เกณฑ์

ตั้งแต่มัชฌิมายาม จุตูปปาตญาณ ตั้งแต่อดีต ปรากฏการณ์ของการเกิดมา อดีตชาติมา ปรากฏการณ์ของจิต ถ้ามันยังไม่มีที่สิ้นสุดของการประพฤติปฏิบัติ ปรากฏการณ์อันนี้มันจะต้องเกิดอีกตลอดไป มันมีแรงขับ ย้อนไปอดีตก็ไม่ใช่ สิ่งที่มีอยู่มันก็จะไปอนาคต นี่อนาคตังสญาณนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ อนาคตังสญาณนี่ท่านเห็นเป็นสัจจะความจริงของท่าน

แต่ปรากฏการณ์ของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมาเห็นไหม มันยังเกิดยังตายอยู่ สิ่งนี้ปรากฏการณ์ของจิตกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ปรากฏการณ์ของธรรมะ ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนกลับมาแล้ว สิ่งที่เป็นอดีต-อนาคต คือความรู้สึก สิ่งที่เคลื่อน ความรู้ที่เคลื่อนออกจากฐาน ความรู้ที่เคลื่อนออกจากภวาสวะ ความรู้ที่เคลื่อนออกจากพลังงาน พลังงานเฉยๆ มันเคลื่อนออกไปเป็นความรับรู้ พลังงานมันสะสม เห็นไหม

ดูสิ ความตกผลึก ดูอย่างฟอสซิลเห็นไหม สิ่งต่างๆ ตาย ฟอสซิลต่างๆ ที่เขารื้อค้นกันขึ้นมา อย่างสัตว์ดึกดำบรรพ์ อย่างไดโนเสาร์นี่กี่ล้านปี ๓o ล้านปี ๖o ล้านปี ๑oo กว่าล้านปี

แต่ปรากฏการณ์ของจิตไม่มีต้นไม่มีปลาย ! แล้วปรากฏการณ์อย่างนี้ สิ่งใดพิสูจน์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์อะไรกัน !

วิทยาศาสตร์พิสูจน์ฟอสซิลได้นะ แต่จิตใจของเรา เราพิสูจน์ถึงปรากฏการณ์ของจิตของเรา นี่ไงพันธุกรรมทางจิต ! จิตที่มันเกิดขึ้นมา มันพันธุกรรม แล้วอย่างนี้เป็นธรรมะหรือยัง ! เพราะมันเป็นการรู้ อดีต อนาคต เห็นไหม

นี่วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ย้อนกลับมาในปัจจุบันนั้น ในปัจจุบันของจิต จิตนิ่งอยู่ จิตไม่เคลื่อนไหวออกไป การรื้อค้นข้อมูลเดิม ฟอสซิลของโลกเขา มันเป็นฟอสซิลที่เป็นวิทยาศาสตร์การพิสูจน์ทางเคมี ทางน้ำยา แต่การพิสูจน์ของทางจิต มันเกิดจากสติ เกิดจากสมาธิ เกิดจากฐานข้อมูล เกิดจากการเข้าไปถึงดวงจิต แล้วเห็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ สาวย้อนไป นี่มันเป็นกำลังของจิตของแต่ละบุคคล

นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมา ถึงไม่มีต้นไม่มีปลายเห็นไหม ย้อนกลับมาถึงฐานแล้วกำหนดจิตเข้ามา มันยังขับเคลื่อนเข้าไป นี่ความลึก ความตื้นของจิตที่มันเข้าไปถึงข้อมูลของเรา การเห็นจิต จุตูปปาตญาณ การเกิดของจิตที่มันจะเกิดต่อไปอีก สิ่งนี้ก็ไม่ใช่.. เพราะมันเป็น อดีต อนาคต เห็นไหม ความขับเคลื่อน จิตแค่คิด แค่กระดิก นี่มันก็เป็นอดีต-อนาคต ไม่เป็นปัจจุบัน

ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน สิ่งที่ปัจจุบันเห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ถึงมันเป็นปัจจยาการ มันเร็วมาก มันหมุนเร็วมาก แต่มันก็อยู่ในปัจจุบันนั้น แล้วไล่กันในปัจจุบันนั้น อาสวักขยญาณเกิดขึ้นมา นี่อาสวักขยญาณการชำระกิเลสเห็นไหม การชำระกิเลสการทำลาย ดูสิเราเห็นปรากฏการณ์ทางโลก เรารู้จักจักรวาล รู้จักทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดเลย

ปรากฏการณ์ของธรรมชาติมันเปลี่ยนแปลง กาลเวลามันเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง สิ่งต่างๆ มันเคลื่อนไหวของมันไป โลกนี้เห็นไหม ดูสิ เวลาเกิดแผ่นดินไหว แยกทวีปออกจากกันได้ แยกออกไปหมดเลย ปรากฏการณ์ของมันเห็นไหม “โลกนี้เป็นอจินไตย” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว โลกนี้เป็นอจินไตย สิ่งที่เป็นอจินไตยเห็นไหม มันจะมีของมันสภาวะแบบนี้ มันแปรสภาพของมัน

พระศรีอริยเมตไตรยจะตรัสรู้ข้างหน้านะ โลกนี้เป็นอจินไตย คือมันไม่หายไปไหนหรอก มันเป็นอจินไตย เราจะรู้กาลเวลาของมันไม่ได้ มันเป็นอจินไตย แต่มันเป็นอนิจจัง มันจะแปรสภาพของมันเห็นไหม แล้วไปตื่นเต้นอะไรกับเรื่องธรรมชาติล่ะ

แต่สิ่งที่เป็นธรรมะแท้ๆ ที่มันเกิดกับหัวใจเห็นไหม มันคว่ำนะ มันพลิกโลก ! มันพลิกอวิชชา ! เวลามันถึงที่อวิชชาเห็นไหม “โลกนี้มีเพราะมีเรา” ชีวิตนี้คืออะไร สิ่งที่มีชีวิตเห็นไหม ดูสิ ปรากฏการณ์ของจิตที่มันเวียนตายเวียนเกิดเห็นไหม ในวัฏฏะมันวนไป แล้วมันมาพลิกที่นี่ มันคว่ำที่นี่ มันทำลายลงที่นี่เห็นไหม

ปรากฏการณ์อย่างนี้โลกไม่มี ! โลกทัศน์ ภวาสวะ ตัวภพ ตัวอวิชชา มันทำลายทั้งหมด นี่อาสวักขยญาณ มันทำลายกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายภพ มาร.. “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” เกิดจากความดำริบนอะไร ? ดำริบนที่ตั้งที่ไหน บนภพที่ไหน บนความรู้สึกอันไหน นี่มันทำลายทั้งหมดเห็นไหม

ดูสิ จักรวาลนี้โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะอยู่ของมันสภาวะแบบนี้ เพราะมันเป็นสสาร มันเป็นวัตถุ มันเป็นสิ่งที่แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา

จิตของเราเป็นนามธรรม ! เป็นความรู้สึก เป็นความทุกข์ความยาก ! แล้วความทุกข์ความยากมันตั้งอยู่บนอะไร แล้วไปทำลาย ไปทำลายโลกทัศน์ ไปทำลายสิ่งต่างๆ สิ่งความรู้สึกที่อยู่บนภพอันนั้น ทำลายหมด นี่อาสวักขยญาณ

แล้วมันจะตั้งอยู่บนอะไร นี่ไง ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม มันปรากฏตามความเป็นจริง แล้ววางธรรมและวินัยไว้ พอวางธรรมวินัยไว้ ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนเห็นไหม ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนในสมัยพุทธกาลนะ ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ ศึกษาปริยัติ ศึกษาต่างๆ ศึกษาจนมีลูกศิษย์ลูกหาขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” สิ่งที่เป็นปฏิเวธ สิ่งที่เป็นสัจจะความจริง.. สัจจะความจริงของเรานะ เห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เทวดา อินทร์ พรหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมายมหาศาล เพราะเป็นปัจจุบันธรรมใช่ไหม แต่ในปัจจุบันนี้ ในความคิด ดูสิ เวลาเราทำกัน แค่เราทำความสงบของใจ เรายังไม่เข้าใจเลย สมาธิมันเป็นอย่างไร ? สมาธิเป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งของจิต ปัญญาเป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งของจิต เป็นปรากฏการณ์ของจิตนะ

แต่เวลาเราศึกษากัน เราประพฤติปฏิบัติในสุตมยปัญญา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สิ่งนี้เราศึกษาธรรมเห็นไหม ธรรมวินัยมีอยู่แล้ว แล้วยังคิดดูถูกด้วยนะ ยังคิดเหยียบย่ำ

“คนสมัยโบราณเป็นคนที่คร่ำครึ คนสมัยโบราณนี่เป็นคนที่ไม่มีปัญญา เทคโนโลยียังไม่เจริญ ในปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญมาก ทุกอย่างเจริญ เราเป็นคนทันสมัย เรามีปัญญา ศึกษาธรรมแล้วปฏิบัติธรรม”

นี่ไง ปรากฏการณ์ของกิเลส ! ปรากฏการณ์ของอีโก้ ! ปรากฏการณ์ของตัวตน ! ปรากฏการณ์ของการยึดมั่นถือมั่น !

เพราะเราไปมองปรากฏการณ์ ไปดูเห็นไหม ดูสิ เหมือนกับสัตว์ สัตว์น่ะมันดูถูกกันนะต่ำช้าต่างกัน มนุษย์ก็เหมือนกัน เราต้องพัฒนาการแบบมนุษย์ ไม่ใช่ ! สัตว์ก็คือสัตว์ มนุษย์ก็คือมนุษย์ สัตว์ไม่พัฒนาการเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็คือมนุษย์ ! เพราะอะไร เพราะมันเป็นภพ

มันเป็นภพนะ มันเป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นสัตว์เดรัจฉานนี่ มันเป็นนรก เดรัจฉานอบายภูมิ สิ่งที่เป็นอบายภูมิ มันจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร มนุษย์ก็คือมนุษย์ มนุษย์เกิดจากมนุษย์ แต่วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ไม่ได้ ! วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ มันก็บอกว่ามนุษย์เจริญเติบโตจากสัตว์ จากเป็นลิง ถึงเป็นมนุษย์ขึ้นมา

ถ้ามันเป็นมนุษย์ขึ้นมา มันก็ทำลายเรื่องภพ เรื่องต่างๆ เห็นไหม เรื่องสิ่งที่เป็นอบายภูมิ สิ่งนี้มันเป็นสัจจะความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่มีสอง สิ่งที่การกระทำของเราเห็นไหม สิ่งที่พัฒนาการของจิต จิตมันพัฒนาการของมันมาขนาดไหนก็แล้วแต่ ที่มันย้อนกลับมาถึงความรู้สึกของเรา ถ้าเราศึกษานะ เราศึกษาเข้ามา เราจะไม่ดูถูกคนอื่น เพราะอะไร เพราะสัตว์มันเป็นตามกรรม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยชาติต่างๆ มหาศาล จิตมันเปลี่ยนแปลง มันตัดแต่งของมันมาตลอด มันเพิ่มพูนวุฒิภาวะของมันขึ้นมา แล้วมันถึงมีเชาว์ปัญญา มีการแยกแยะ มีการเข้าใจ มีการแสวงหา นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราศึกษาขึ้นมาแล้ว เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรมัตถธรรม ใช่ มันเป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปรมัตถธรรมนะมันก็เป็นเทคโนโลยีไง มันเป็นความรู้อันหนึ่งที่วางไว้ให้เราศึกษา พอเราศึกษาขึ้นมา เราไปศึกษาความรู้ เราก็ไปถอดความรู้ของเขาออกมา แล้วความรู้ของเราล่ะ ถ้าความรู้ของเราไม่มี กิเลสมันหลอกตรงนี้ไง พอกิเลสมันหลอกขึ้นมา หลอกว่าเราใช้ปัญญาแล้ว ปัญญานี่ล่ะ แล้วกิเลสมันลึกซึ้ง กิเลส-อุปกิเลส

ดูสิ เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา มันมีความเร่าร้อนขนาดไหน เวลาเราศึกษาธรรม เรามีคนปลอบประโลม ใจของเราจะดีขึ้นมาใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันสงบตัวลง มันก็ปล่อยวางบ้าง ปล่อยวางความคิดในตัวของมัน เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แล้วยังเข้าใจด้วยปัญญานะว่า “เราใช้ปัญญาแล้ว.. เพราะปัญญามันใคร่ครวญไปแล้ว มันปล่อยวางเข้ามา ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมันมีความเข้าใจ...” มีความเข้าใจขนาดไหนนะ

ดูอย่างแผ่นดินไหวนะ แผ่นดินไหวมันเพราะอะไร แผ่นดินไหวเพราะความกดดัน พลังของเปลือกโลกที่มันกดทับกัน ความกดทับกันมันต้องมีการเคลื่อนไหว เพราะพลังงานมันต้องให้มันคลายตัวออกไป นี่แผ่นดินไหวเกิดสภาวะแบบนั้น เวลาเราทุกข์เรายาก ใจเราคิด เรามีความทุกข์ยากในหัวใจ นี่ไง ความกดดันของกิเลสไง ! กิเลสมันกดดันหัวใจมาก ! พลังงานมันกดดันมาก แล้วศึกษาธรรมะ.. ศึกษาธรรมะ.. มันแค่ปล่อยพลังงานออกมาเฉยๆ เท่านั้นเอง

พอปล่อยพลังงานเฉยๆ เห็นไหม การปล่อยพลังงานเฉยๆ เหมือนกับเราศึกษาทางธรณีวิทยา เขาเข้าใจเรื่องภาวะปรากฏการณ์ของธรรมชาติ พอจิตมีปรากฏการณ์ของมัน เวลาศึกษาขึ้นมามันก็มีปรากฏการณ์อันนั้น

“ศึกษาธรรม.. ศึกษาธรรม..” นี่ความเข้าใจของตัว มันเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ปรากฏการณ์ของกิเลสนะ !

เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริง ! มันไม่เป็นความจริงเพราะอะไร เพราะจิตนี่แค่ปรากฏการณ์ แค่คลายพลังงานเฉยๆ พอจิตมันคลายพลังงานเฉยๆ มันก็เป็นการคายพลังงานใช่ไหม มันก็เป็นความสุขพักหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน กำหนดเราทำใจของเราขนาดไหน เราศึกษาธรรมขนาดไหน มันก็ปรากฏการณ์มันก็ปล่อยชั่วคราวเท่านั้นเอง แล้วปล่อยชั่วคราวเห็นไหม แล้วมันจะมีสิ่งใดตามมา มีจะอาฟเตอร์ช็อกตามมา พอตามมา ปรากฏการณ์เป็นธรรมชาติ ตัวปรากฏการณ์แผ่นดินไหวนี่เราจะตั้งตัวไม่ทัน เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติที่เราจะไม่รู้ตัว เวลาเกิดขึ้นมามันจะเป็นความจริง อาฟเตอร์ช็อกมันเกิดมา มันเกิดจากผลของพลังงานที่มันคลายตัวซ้ำมาๆ

นี่ปรากฏการณ์ พอเราเป็นปั๊บเราก็อยากได้สมาธิอีก ปรากฏการณ์มันก็หลบเห็นไหม มันมุมกลับ... มุมกลับคือว่าถ้าเป็นแผ่นดินไหว ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี่เราเห็นภัยของมัน เราจะหลบได้ แต่การประพฤติปฏิบัติ พอเรารู้ เราเคยสัมผัส เราอยากได้ เราต้องการ ปรากฏการณ์นี้กิเลสเห็นไหม ปรากฏการณ์ของกิเลสมันมุมกลับกับปรากฏการณ์ธรรมชาตินะ ปรากฏการณ์ธรรมชาติเรารู้แล้วเราหลบภัยได้ ปรากฏการณ์ของกิเลส มันรู้มันเห็นแล้วมันเอามาหลอกเรา !

เหมือนกับสุตมยปัญญา การศึกษาในภาคปริยัติ ศึกษาขึ้นมาน่ะ “ปรมัตถธรรม.. ปรมัตถธรรม..” มันเป็นปรากฏการณ์ของกิเลสที่ไปยึดธรรมะ “ธรรมะเป็นธรรมชาติ..ธรรมะเป็นธรรมชาติ..” ธรรมชาติมันทำลายเรานะ ! ธรรมชาตินะดูสิ ดูธรรมชาติของจิตที่การเกิดและการตาย เราเกิดตายมากี่รอบแล้ว !

ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ พอมันคลายพลังงานไปแล้ว มันก็หมดความกดดันของมัน มันก็ต้องสะสมต่อไป แล้วมันก็จะมีปรากฏการณ์อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ในรอยเลื่อนของโลก ปรากฏการณ์การเกิดและการตาย.. เรารู้ธรรมะนี่ การเกิดตายมันกี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนไปอดีตชาติไม่มีต้นไม่มีปลาย ! แล้วเรามันมีต้นมีปลายที่ไหน มันมืดบอด ! ไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย

แต่มีอำนาจวาสนาที่เป็นมนุษย์สมบัติ เราเกิดมาพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธาความเชื่อ นี่ไง เกิดมาเห็นไหม เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งนี้มีบุญกุศลมาก เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วถ้าเราไม่ออกประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัตินะ มันมีอยู่แล้วไง ความรู้ในศาสนาของเราเห็นไหม

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนเรื่องอริยสัจ สัจจะความจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม แล้วมรรคของใคร มรรคของคฤหัสถ์ มรรคของการดำรงชีวิต มรรคของนักพรต มรรคของนักบวช มรรคของผู้ต่อสู้กับกิเลส แล้วเราจะเลือกเอาอะไร เราก็จะว่าเราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นพระเห็นไหม ก็เลือกกันไป..

สิ่งนั้นเลือกเห็นไหม แล้วในการประพฤติปฏิบัติ มรรคญาณมันเกิดมาอย่างไร ถ้ามรรคญาณเห็นไหม แล้วเราก็ศึกษากัน ถ้ามรรคญาณมีต้นมีปลายนะ มีธรรมวินัยเป็นสิ่งให้เราก้าวเดินกันอยู่แล้ว เราก็ยังตีความกันผิดนะ นี่ปรากฏการณ์ของกิเลส เพราะเรามีกิเลสไง

แต่เพราะเรามีครูบาอาจารย์ที่ท่านรื้อค้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา ท่านรู้จริงของท่าน ! ท่านถึงมากำหนดว่า ให้กำหนดทำความสงบของใจให้ได้ก่อน

ถ้าเราทำความสงบของใจไม่ได้ มันก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ของจิตเฉยๆ เห็นไหม เรากำหนดเห็นไหม กำหนดปรากฏการณ์ไง พุทโธๆๆ เข้าไปนี่เห็นไหม ดูสิ เราคลายพลังงานมันออก พลังงานที่มันจะทำให้เกิดการกดดันให้แผ่นดินมีการเปลี่ยนแปลง พุทโธๆๆ จนมันสงบเข้าไป เราควบคุมได้

แต่ถ้าเราไม่มีพุทโธขึ้นไป เราเข้าใจของเราเอง มันเป็นการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ขาดสติ ! พอขาดสติขาดการรับรู้ เทคโนโลยีมันไม่ทัน ! ความรู้จริง ความรู้ของการปฏิบัติมันรู้ไม่เท่าทันความจริง ! พอไม่เท่าทันความจริง.. “ว่างๆ ว่างๆ” มันควบคุมไม่ได้ ! ธรรมชาตินี่ควบคุมไม่ได้ มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง มันเป็นปรากฏการณ์ความจริงอันหนึ่ง เป็นปรากฏการณ์ของฤดูกาลต่างๆ มันเป็นความจริงอันหนึ่งนะ มันเป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งจากธรรมชาติ

แต่ปรากฏการณ์ของจิต เวลาอารมณ์ของเรา พายุอารมณ์ขึ้นมา ความทุกข์ความยากมันเกิดขึ้นมา ปรากฏการณ์อันนี้มันเกิดขึ้นมา ใครควบคุมมันได้ ถ้าเรามีสติเห็นไหม พอมีสติขึ้นมา เราจะควบคุมสิ่งนี้ได้ มันลึกลับมหัศจรรย์นะ มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ถ้ามีสติสัมปชัญญะ กำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็แล้วแต่ มันมีสติสัมปชัญญะเข้าไป ปรากฏการณ์อันนี้เราควบคุมได้ เราจะเกิดแผ่นดินไหว เกิดพลังงานขนาดไหน

นี่สัมมาสมาธิ ! ถ้ามีสัมมาสมาธิปรากฏการณ์อย่างนี้… ดูสิ พลังงานในโลกตอนนี้กำลังคิดกันอยู่ว่า เราจะเอาความร้อนจากใต้โลกขึ้นมาใช้ประโยชน์เพื่ออะไร ตอนนี้พลังงานของเรา เราใช้พลังงานฟอสซิล พลังงานน้ำมันต่างๆ เพื่อเอาพลังงานมาใช้ กำลังคิดกันอยู่ว่า จะเจาะไปในโลกแล้วเอาพลังงานของโลก เอาความร้อนออกมาใช้เป็นพลังงานของเรา สิ่งนี้เขาคิดกันอยู่ เขาทำกันไม่ได้หรอก นี่เรื่องของโลกที่กำลังคิดอยู่...

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงของเราล่ะ พลังงานของใจมันมีอยู่แล้ว ! จิตที่มันเกิดมันตายอยู่นี่ จิต ! การเคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดแล้วให้มันสงบนิ่งได้ มันจะมีพลังงานขนาดไหน แล้วเราจะควบคุมมันได้อย่างไร

แต่เพราะปรากฏการณ์ของกิเลส มันเลยไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเรารู้สิ่งนั้น “ธรรมะเป็นธรรมชาติ..” มันเป็นปรากฏการณ์อันหนึ่ง

“ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ..”

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือธรรมชาติ ! เหนือการเกิดและการตาย ! ถ้าไม่เหนือธรรมชาติ จะชำระสิ่งที่เป็นธรรมชาตินี้ไม่ได้

การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ทุกข์ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ตัณหาความทะยานอยากก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความนิโรธ ความเกิดดับ พลังงานที่มันผ่อนคลายแล้วก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง จิตที่สงบก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

“ทุกข์นี้ควรกำหนด”

ในโลกนี้สิ่งใดเป็นอนิจจัง เพราะความเกิด ความคิด ความจินตนาการของเราเป็นอนิจจังทั้งหมด

“สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

เพราะความทุกข์เห็นไหม นี่ปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้นมา มันคลายตัวแล้ว ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว ความทุกข์นี่เป็นอนัตตา ! มันเป็นอนัตตาเห็นไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ นิโรธความรู้จริง”

ความรู้จริงด้วยอะไร ด้วยมรรคญาณ สิ่งที่รู้จริงมันจะรู้ที่ไหน ถ้าจิตของมันไม่ทำความสงบของมันเข้ามาก่อน ถ้าจิตของมันสงบเข้ามาก่อนเห็นไหม เพราะปรากฏการณ์มันเกิดที่นี่ ! นี่จิตปฏิสนธิ จิตที่มันเกิดมันตาย จิตนี่อุปกิเลส ความสว่าง... “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตเดิมแท้มันอยู่ที่ไหน

ทั้งๆ ที่เราเกิดมานะ ดูสิ ในจักรวาลนี้ ในวัฏฏะ ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังธรรมฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขามานะ พรหม เทวดาเขามาด้วยกายทิพย์ จะไม่เห็นร่างกายของเขา แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือผู้ที่มีบุญญาธิการ ทำไมเห็นล่ะ ทำไมเข้าใจสภาวะแบบนั้นได้ คนที่ตกในนรกอเวจี นรกอเวจีก็เป็นจิตวิญญาณอันหนึ่ง มันก็อยู่ในสถานะของเขา แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เห็นไหม มนุษย์สมบัติ

ดูสิ เดรัจฉานนี่ อบายภูมิ ๔ ตั้งแต่นรกอเวจี แล้วพ้นขึ้นมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน สิ่งที่เป็นเดรัจฉานมันก็มีจิตมีร่างกายเหมือนกัน แต่ด้วยวุฒิภาวะของเขา แต่เราเป็นมนุษย์เห็นไหม มนุษย์เกิดขึ้นมามันเป็นภพกลาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะมาตรัสรู้ที่ภพมนุษย์นี้ แล้วเทวดา อินทร์ พรหมนี่มาฟังธรรม ฟังธรรมอะไร เพราะเทวดา อินทร์ พรหมนี่เราก็ยกย่องสรรเสริญว่ามีความสุข ความสุขที่มันเกิดจากอามิส เกิดจากการสร้างบุญญาธิการ ความสุขอย่างนั้นมันเป็นความสุขเพราะว่าเราเทียบกับในวัฏฏะ มันถึงเป็นความสุข !

แต่ถ้ามาเทียบในธรรมะ มันเป็นทุกข์ ! เพราะอะไร เพราะมันเกิดตายนี่ไง ! พรหมก็ต้องตายเว้นไว้แต่อนาคาขึ้นไป ตั้งแต่อนาคา ๕ ชั้นเห็นไหม มันจะสุขไปข้างหน้า พรหมอย่างนั้นไม่กลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว มันจะสุขไปข้างหน้าเลย มันจะสุขไปข้างหน้าอย่างไร ทำไมมันถึงสุขไปข้างหน้า ถ้ามันจะสุขไปข้างหน้าน่ะ มันก็ต้องมีปัจจุบันธรรม ธรรมะต้องปรากฏตามความเป็นจริงของใจดวงนั้น !

ถ้าใจดวงนั้นมีธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงขึ้นมา ด้วยการกระทำ ด้วยมรรคญาณเห็นไหม นี่มรรคของนักปฏิบัติ มรรคญาณนี่คือสัมมาอาชีวะ สิ่งที่เลี้ยงอาชีวะได้ มันเป็นสัมมาอาชีวะหรือยัง ถ้าเป็นปรากฏการณ์ของกิเลสมันจะเป็นสัมมาอาชีวะได้อย่างไร เพราะกิเลสมันบิดเบือน กิเลสมันพลิกแพลงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ้างอิงว่าเป็นธรรมของเรา มันอ้างอิง มันน้อมนำเข้ามาเป็นธรรมของเรา

“ธรรมะเป็นธรรมชาติ” เราอยู่ในโลกนี่ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาที่มันมีไปโดยธรรมชาติ เราอยู่กับมันใช่ไหม เราต้องอยู่ในโลกใช่ไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นไหม เรามีร่างกาย เรามีจิตใจ จิตใจเป็นนามธรรม จิตใจนี่คือสิ่งที่เป็นความสัมผัส ความรับรู้สุขรู้ทุกข์ต่างๆ สิ่งนี้ใคร่ครวญได้ สิ่งนี้ดัดแปลงได้ สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงได้

แต่มนุษย์สมบัติในปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงได้ไหม มันเกิดมาตามกรรมใช่ไหม สูง ต่ำ ดำ ขาว ต่างๆ มันเป็นผลของวิบากกรรม สิ่งที่เป็นวิบากกรรม ร่างกายนี่เป็นวิบากกรรมแล้ว มันเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว สิ้นสุดของมันคือตายนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันอยู่ ปรากฏการณ์ของธรรมเกิดมาส่วนหนึ่ง พระโสดาบันมีปรากฏการณ์อันหนึ่ง แต่ปรากฏการณ์ของกิเลสอีก ๓ ขั้นตอน คือสกิทาคา อนาคา อรหันต์นี่ มันเป็นปรากฏการณ์ของกิเลสจะไม่เข้าใจ ปรากฏการณ์ต่างๆ มันมีความสุข ความสะอาด ความเศร้าหมอง มันมีความลึกซึ้งต่างกัน

พระอานนท์นะถึงกับร้องไห้ ร้องไห้เพราะอะไร เพราะมันเสียใจไง เสียใจว่าเราก็มีสิ่งที่เศร้าหมอง สิ่งที่เราไม่เข้าใจในหัวใจนี้เยอะมากนัก ทุกคนก็ต้องอยากให้มีคนคอยชี้นำ ให้มีคนคอยแก้ไข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานแล้วในคืนนี้เห็นไหม นี่สิ่งที่ปรากฏการณ์ๆ ของจิตที่มันสะอาดขึ้นมา สิ่งที่การกระทำขึ้นมา มันปรากฏขึ้นมา มันต้องมีเหตุมีผล การปรากฏการณ์มีเหตุมีผลเห็นไหม นี่ธรรมะเหนือธรรมชาติ

ปรากฏเหนือธรรมชาติเพราะอะไร เพราะจิตของเรา ถ้ายังเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ มันก็จะเวียนตายเวียนเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะหมุนไปอย่างนี้ โดยอำนาจของคุณงามความดีและชั่ว ดีก็หมุนไปในทางที่ดี เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ชั่วก็ตกนรกอเวจีไป ปรากฏการณ์อย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติเห็นไหม มีศาสนาหรือไม่มีศาสนา สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม โลกธรรม ๘ มันมีอยู่แล้ว

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อาสวักขยญาณ แล้ววางธรรมและวินัยไว้ให้เราก้าวเดิน วางธรรมวินัยไว้ให้พวกเราแสวงหา มันต้องมีการแสวงหา ต้องมีการกระทำขึ้นมา มันเป็นอุบายวิธีการเห็นไหม ให้เราแสวงหา ให้เสียสละทานขึ้นมา

ถ้าเสียสละทานขึ้นมานี่จิตใจมีการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของมัน จิตใจผู้เสียสละมันมีการผ่อนคลายความกดดันในหัวใจออกไป โดยธรรมชาตินะ เราจะรู้หรือไม่รู้ ถ้าเราทำบุญขึ้นมาด้วยความชุ่มชื่นของเรา ยิ่งมีครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เราศรัทธาความเชื่อ เราจะถวายเราจะมีความสุขของเราเห็นไหม นี่ปรากฏการณ์มันมี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยอย่างนี้ วางให้เราฝึกฝนเอาตัวขึ้นมา แล้วถ้ามีวุฒิภาวะ มีการทดสอบ มันจะพัฒนาของมันขึ้นไป ทาน ศีล ภาวนา การภาวนาเท่านั้นมันจะเกิดปรากฏการณ์ของจิต จิตเกิดปรากฏการณ์ของจิตมันเป็นอาสวักขยญาณ มันเป็นสิ่งที่เข้าไปชำระกิเลส มันก็ต้องมีเครื่องมือ มีปรากฏการณ์อย่างนั้น

ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เราประพฤติปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้นะ ปฏิบัติกันเป็นพิธีกรรมเฉยๆ เพราะอะไร เพราะมันมุมกลับ เพราะว่าเราเข้าใจว่าปัญญาที่เราคิดกัน มันเป็นปัญญา ศึกษาขึ้นมานี่.. โธ่.. พระไตรปิฎกเราอ่านขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันไม่มีการภาวนาขึ้นมา มันเป็นชื่อ ! สมาธิก็เป็นชื่อสมาธิ ! เวลาปัญญาแบ่งเป็น ๓ ส่วนของปัญญาเราก็ไม่เข้าใจ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

ถ้าไม่มีปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง มันจะไม่เข้าใจเรื่องภาวนามยปัญญา มันจะไม่เข้าใจถึงมรรคญาณ มันจะไม่เข้าใจถึงมรรคที่มันรวมตัวเข้ามา มันจะแบ่งแยกมรรคของคฤหัสถ์ มรรคของนักบวช มรรคของนักรบ มรรคของผู้ที่จะพ้น นี่ปรากฏการณ์มันคนละระดับ ! ปรากฏการณ์มันคนละชั้น ปรากฏการณ์มันมีความลึกตื้นหนาบางต่างๆ หลากหลายมาก แล้วเราก็ศึกษากันว่าเป็นพิธีกรรมเฉยๆ แล้วก็ปรากฏการณ์ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เหมือนเราเข้าใจปรากฏการณ์ของธรรมชาติ แล้วเราเกิดตายไหม ?

นี่ก็เหมือนกัน ปรากฏการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านประพฤติปฏิบัติมาเป็นศาสดาของเรานะ เป็นตัวอย่างของเรานะ แล้ววางธรรมวินัยไว้ให้เราทำให้มันเป็นขึ้นมา “จิตแก้จิต” ถ้ามันไม่มีความสงบของใจเข้ามา ความคิดของเราเห็นไหม ดูสิ ปรากฏการณ์ของแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อกต่างๆ มันทำให้เราไปตื่นกลัวใช่ไหม

ปรากฏการณ์ของจิตเวลาจิตมันจะลงสมาธิน่ะ มันวูบวาบขนาดไหนก็ไปตื่นกลัวมันใช่ไหม ไปตื่นกลัว ไปตื่นต่างๆ แล้วถ้าไม่มีพลังงานอย่างนี้ พลังงานที่เราไม่เอาขึ้นมาใช้ มันจะเกิดปัญญา เกิดฐานรองรับ เกิดมรรคญาณ เพราะมรรค ๘ มีสัมมาสมาธิ สัมมาสติ สัมมากัมมันโต งานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงมันให้ชอบ ถนอมมัน แก้ไขมัน จะทำอย่างไรขึ้นมา

ถ้ามันเป็นสัจจะเหมือนเรากำปั้นทุบดิน ทำไปแล้วมันต้องประสบความสำเร็จ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ยังชักกลับล่ะ จุตูปปาตญาณ เห็นจิตไปเกิดก็ยังไม่ใช่.. แล้วปรากฏการณ์อย่างนี้ ถ้าเราไม่มีวุฒิภาวะ เราก็ไปตื่นเต้น เป็นผู้วิเศษ รู้ ! รู้สิ่งที่โลกเขาไม่รู้ นี่อวดอุตริมนุสสธรรม ธรรมเหนือมนุษย์ไง เห็นคนอื่นเขาไม่รู้ เรารู้ไง แค่ฌานสมาบัติมันก็อวดอุตริแล้ว ถ้าอวดเพื่อลาภสักการะ

แต่ครูบาอาจารย์น่ะ ท่านบอกลูกศิษย์เห็นไหม เวลาบอกเหมือนกับเราสอนลูกศิษย์ บอกปากเปล่า อาการอย่างนี้จะเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้… อันนี้ไม่ได้อวด ! มันเป็นการจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง คือการที่เราจะทรมานจิตอีกดวงหนึ่ง ให้จิตอีกดวงหนึ่งมันมีวิวัฒนาการของมัน เห็นโทษของมัน เห็นสิ่งที่ว่าเห็นไหม ปรากฏการณ์ของกิเลสน่ะ ขนาดที่รู้ มันอวดอุตริมนุสสธรรม ธรรมเหนือมนุษย์ มันก็ไปติด !

ไอ้ธรรมเหนือมนุษย์อย่างนี้ เดี๋ยวนี้นะ ปัจจุบันนี้เห็นไหมดูสิ โลกมันเจริญ เทคโนโลยีมันเจริญ เขาสร้างเทคโนโลยีดีกว่าที่เราจะจำมาด้วย แล้วเทคโนโลยีนั้นมันเป็นข้อมูล มันอยู่คงที่ของมันด้วย ไอ้ความรู้ของเรา ไอ้เรื่องฌานสมาบัติ ไอ้เรื่องสิ่งที่จะเกิดขึ้นมา เรื่องเข้าไปรู้ข้อมูลนี่ มันต้องอาศัยกำลังของจิต ปรากฏการณ์ธรรมชาติมากน้อยขนาดไหน ดูสิ ดูสึนามิสิ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มันยุบตัวมาก น้ำยกขึ้นมาก มันจะเข้าไปกวาดต้อนทำลายโลก เปลี่ยนแปลงสภาวะของธรรมชาติมากขึ้น

จิตก็เหมือนกัน ! ถ้ามันลงสมาธิ มันจะมีกำลังของมันใช่ไหม มันเข้าไปทำลายตัวมันเพราะอะไร เพราะขณะที่ปรากฏการณ์ของจิตที่มันเกิดขึ้นมา มันจะชำระกิเลสของมันอย่างไร ถ้ามันชำระกิเลสของมัน มันสงบตัวลงแล้วเราจะใช้ประโยชน์อะไรกับมัน แต่นี่มันไม่มีความสงบ มันไม่มีพลังงาน ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ ขึ้นมาเลย แต่มันเข้าใจของมันเองเห็นไหม เข้าใจของมันเอง เข้าใจว่าสิ่งที่เราเข้าใจเพราะอะไร เพราะถ้ามีการประพฤติปฏิบัติ จิตมันจะมีการเปลี่ยนแปลงของมัน

จิตมันจะวิวัฒนาการของมัน มันจะเจริญของมัน มันจะเสื่อมของมัน ธรรมชาติของมัน ไอ้นี่เราไม่ได้ปฏิบัติเลย แล้วบอกว่าศึกษาธรรมๆ อ่านเข้าใจเหมือนเราศึกษาทางวิทยาศาสตร์ข้อมูลไง ไปตรวจงาน เอาข้อมูลมาดู อ๋อ ข้อมูลพลังงานมันสะสมอย่างนั้น ความขับดัน.. แรงขับดัน... รู้ไปหมดเลย ! แล้วแก้ไขอะไรได้ ! เพราะปรากฏการณ์สิ่งนั้น มันได้ทำลายสิ่งแวดล้อมไปแล้ว มันได้ทำลายตัวมันเองเพราะมันเป็นสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอจินไตยด้วย เป็นอนิจจังด้วย มันแปรสภาพของมันโดยธรรมชาติของมัน

เราอยู่กับเขา เราอยู่กับความแปรปรวนตลอดเวลา โลกก็แปรปรวน ชีวิตก็แปรปรวน สังคมก็แปรปรวน กิเลสก็แปรปรวน อารมณ์ก็แปรปรวน แล้วตั้งสติขึ้นมาน่ะ ทำให้มันเห็นเหตุเห็นผลของมันขึ้นมา มันจะมีปรากฏการณ์ของมันขึ้นมานะ ถ้าปรากฏการณ์ขึ้นมาเห็นไหม มันต้องมีสัมมาสมาธิ มันต้องมีการกำหนดพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา จนมีสติควบคุมใจเข้าไป ปรากฏการณ์พลังงานนี้เราควบคุมมัน พอควบคุมมันน่ะ เอามาใช้ประโยชน์เห็นไหม สัมมาสมาธินี่แล้วออกวิปัสสนา วิปัสสนาในอะไร

นี่ไง ปรากฏการณ์ของโลก สิ่งแวดล้อมของโลกที่มันเกิดขึ้นมา เพราะสิ่งแวดล้อมมันส่งเสริมกันนะ เพราะดูสิ ถ้าอาหารในทะเลมีมาก มันจะมีปลาใหญ่ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ห่วงโซ่ของอาหารมันจะส่งเสริมกัน มันพัฒนา วิวัฒนาการของมันขึ้นไป ปรากฏการณ์ของโลกมันเป็นสภาวะแบบนั้น

แล้วปรากฏการณ์ของจิตเราล่ะ มันจะดีขึ้นมันจะเลวลงขนาดไหน ปรากฏการณ์ของโลกถึงไม่มีมนุษย์มันก็วิวัฒนาการของมันนะ มีมนุษย์ขึ้นมานี่มนุษย์ทำลายเขาหมดเลย ถ้าวิวัฒนาการของโลกมันไม่มีอย่างนั้นมนุษย์อยู่ไม่ได้ ! สิ่งแวดล้อม.. อย่างเช่น ไม่มีออกซิเจนมนุษย์อยู่ได้ไหม ไม่มีน้ำมนุษย์อยู่ได้ไหม มนุษย์อยู่ไม่ได้... แล้วกิเลสมันอยู่บนอะไร ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันจะย้อนกลับมา ทีนี้จิตมันอยู่ในอะไร จิตเรานี้มันอยู่ในอะไร ความรู้สึกเราอยู่ในอะไร ก็อยู่ในร่างกายนี่ไง

ร่างกายนี้เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีอะไร มนุษย์มีร่างกาย ร่างกายกับจิตใจมันคนละส่วนกัน เพราะอะไร เพราะเวลาเราตายนะ ถึงที่สุดนะถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เราใช้ชีวิตโดยความเพลิดเพลินนะ ให้กิเลสมันหลอกว่า ชีวิตเรานี่จะอยู่ค้ำฟ้า จะไปปฏิบัติอีกชาติหน้า แล้วมันจะตาย ! พอจะตายขึ้นมานี่เห็นไหม เราไม่ได้ประโยชน์จากมันแล้ว จิตนี้ออกจากร่างไป

เวลาตาย ปฏิสนธิจิตมันจะหดตัวเข้ามาแล้วออกจากร่างนี้ไป เราตายจากชีวิตนี้ แต่จิตไม่ตาย... จิตมันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มันจะสะสมเป็นฟอสซิลชาติหนึ่ง ตกผลึกเข้าไปในใจ ชาตินี้ได้เกิดแล้ว และได้ตายแล้ว ความรับรู้ของชาตินี้มันจะสะสมลงที่ภวาสวะตัวภพ ภพของจิต ปฏิสนธิจิต นี่จิตวิญญาณ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” มันก็ขับเคลื่อนของมันไป มันจะเกิดต่อๆ ไปเห็นไหม

แต่ถ้าจิตเราสงบเข้ามา มีกายกับจิต แต่เราไม่เคยเห็นจิต เราไม่เคยเห็นพลังงาน เราเห็นแต่ความทุกข์ร้อน เราเห็นแต่ความคิด ดูสิ เราไปดูน้ำพุร้อนเห็นไหม มันมาจากไหน มันก็มาจากโลก-เปลือกโลกนี่แหละ นี่ก็เหมือนกัน มันมีแต่ความคิดออกมาจากพลังงาน ออกมาจากใจนี่มีแต่ความคิดทุกข์ร้อน มีแต่ความคิดสิ่งที่ทำให้ชีวิตนี้เศร้าหมอง เราควบคุมมันไม่ได้ ! แต่ถ้ามีสติเห็นไหม เราควบคุมด้วยสติปัญญาของเราเข้าไป นี่น้ำพุร้อนเขาทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว เขาหาตังค์ เขาหาประโยชน์ได้นะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นพลังงานของเรา มีสติสัมปชัญญะขึ้นมา ให้เกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ เขาหาประโยชน์ทางโลกเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไอ้เราหาสิ่งที่เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา เลี้ยงให้จิตนี้เป็นอริยภูมิเลย !

จิตมันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วให้ออกวิวัฒนาการ ให้มันพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม กายก็ได้ เวทนาก็ได้ จิตก็ได้ ธรรมก็ได้

สภาวธรรม.. ธรรมคืออะไร ธรรมคือสภาวะสัจจะความจริง ธรรมารมณ์ไง อารมณ์ความรู้สึกกระทบ จิตกระทบกับความรู้สึก จิต-อาการของจิต สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์เห็นไหม จิตในร่างกายนี่ยังไม่รู้จักมันเลย ถ้าเรารู้จัก นี่ไง รู้จักจิต มีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตได้ การจะวิปัสสนาถ้าจิตมันไม่สงบ เราจะเอาอะไรไปทำ ทำไปแล้วมันก็เป็นสัญญา เป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งของจิต เป็นธรรมชาติของจิตที่มันรู้อย่างนั้น

แล้วเพียงแต่ว่าเราเกิดมามีอำนาจวาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของมันอย่างนั้น แล้วตรึกในธรรมคือข้อมูล คือความรู้ คือเทคโนโลยีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับเราไปตรวจงาน เราไปดูงานนั่นน่ะ เราไปดูเหตุดูผล ดูข้อมูล แล้วเราเข้าใจ ก็เท่านั้น…

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตนี่ไม่เข้าถึงตัวสมาธิ คือมันไม่เป็นงานของเรา มันเป็นงานหน้าที่ เป็นงานข้อมูลของโลก โลกที่เขาหาสิ่งต่างๆ ขึ้นมา วิวัฒนาการ ทุกคนคิดว่าจะส่งโลกนี้ให้กับลูกหลานเรา พยายามจะรักษาสิ่งแวดล้อม มันรักษาได้ก็เหมือนเราทำความดีความชั่ว คิดดีมันก็รักษาหัวใจไว้ คิดชั่วมันก็เผาหัวใจ นี่คิดดีชั่ว

โลกก็เหมือนกัน ฝ่ายที่เขารักษาสิ่งแวดล้อมไว้ก็เป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจ คิดถึงอนาคต คิดถึงลูกหลานเรา คนที่เขาเห็นผลประโยชน์นะ เขาก็บอกว่าปัจจุบันนี้ต้องใช้ประโยชน์มันก่อน เขาแสวงหาผลประโยชน์ตลอดเวลา เขาไม่ได้คิดว่าจะรักษาสิ่งแวดล้อมอะไรเลย เขาคิดแต่ตักตวงประโยชน์ของเขาเห็นไหม คนสองฝ่ายในโลกนี้ก็ต้องขับเคลื่อนกันไปโดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น

แต่ฝ่ายใดดี ฝ่ายใดมีกำลังมากกว่าล่ะ ถ้าฝ่ายที่เป็นคุณธรรมมีกำลังมากกว่า ก็เหมือนเรา ในเมื่อเรามีศรัทธา มีความเชื่อ ถ้ามีกำลังความคิดที่เรามีมากกว่า เราสามารถบังคับให้เรามาวัดได้ เราสามารถบังคับให้เราเป็นนักบวช นักพรตได้ เราสามารถบวชเป็นพระได้ เราสามารถบังคับชีวิตของเราให้อยู่ในศีลในธรรม เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ไง เพื่อส่งสภาวะแวดล้อมให้กับลูกหลานเราไปข้างหน้า นี่โลกเขาคิดกันอย่างนั้นนะ

แต่สภาวธรรมของเราล่ะ เราเอาภวาสวะ ตัวภพ เราจะทำลายตัวภพ ทำลายโลกเลย ทำลายโลกทัศน์เลย ทำลายหัวใจทั้งหมดเลย แล้วก่อนจะทำลายขึ้นไปน่ะ มันเป็นขั้นตอนขึ้นไปเห็นไหม นี่มันติดในอะไรก่อน มันก็ติดในร่างกายของเรานี่แหละ ติดในร่างกายนะ เพราะเกิดมาแล้ว โดยอุปาทานทุกคนต้องคิดว่าสรรพสิ่งนี้เป็นเรา มันจริงตามสมมุติ ! มันจริงตามกรรม เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มันเป็นจริงในชีวิตเรานี่แหละ แต่คำว่าสมมุติ คือมันชั่วคราว ชั่วอายุขัย ถ้ามันเป็นจริงของเรา เราต้องบังคับว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้า !

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาของเรา ท่านปรินิพพานไปแล้ว ท่านวิมุตติสุขอยู่ตลอดไป คงที่ตลอดไป นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ร่างกายต้องอยู่คงที่ตลอดไป ต้องมีความสุขนี้ตลอดไป มันก็เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันเวียนตายเวียนเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เรามีโอกาสแก้ไขต่างหากนะ นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้

เรื่องของชีวิตมันต้องตายไปเป็นธรรมดา ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่โลกเขาเพลินกัน เขาอยู่กับชีวิตของโลกเขา เขาเพลินกับโลกแล้วก็แสวงหากัน นี่ปรากฏการณ์กิเลส มันคิดว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข คิดว่าสิ่งนั้นเป็นการที่จะยึดมั่น ชีวิตเป็นอย่างนั้น หรือยอมจำนนกับมัน “อื้ม... เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย เราก็มีความสามารถได้แค่นี้ เราก็ทำของเราไปแค่นี้มันก็จะตายไปข้างหน้า” นี่ไปยอมจำนนกับมัน ไม่มีความเพียรชอบ ! ไม่มีการต่อสู้ !

เห็นไหมถ้ามีการต่อสู้ เรามีศรัทธามีความเชื่อ เรามีการต่อสู้กับกิเลสของเราเห็นไหม ปรากฏการณ์ของกิเลสมันต้องการความสะดวกสบายเป็นธรรมดา ปรากฏการณ์ของธรรมะนะ เวลาถ้ามีสติขึ้นมามันยับยั้งได้ มันเห็นความยับยั้งของมัน เราเกิดความยับยั้งขึ้นมานะ จนพลังงานในแผ่นดินนี่เราควบคุมได้หมดเลย

พลังงานของใจ แผ่นดินโลกมันเป็นโลกอันหนึ่งนะ แต่เวลาใจของเรา มันเหมือนโลกหนึ่งเลย เหมือนจักรวาลเลย จิตใจเรานี่ เพราะเราเคยเกิดเคยตายในวัฏฏะ เราเกิดทุกๆ ภพชาตินะ โลกนี้มีเพราะมีเรา จักรวาลนี้มีเพราะมีเรา สรรพสิ่งมีเพราะมีเรา เราเกิดตายๆ ความที่เราเคยตายมา ไอ้ความสะสมในใจน่ะ ฟอสซิลในหัวใจเราอีกมหาศาลเลย แล้วเราควบคุมมันได้

เราควบคุมได้เห็นไหม ดูสิ ดูพลังงานฟอสซิลที่เขาใช้เป็นน้ำมัน เขาเอามาหาประโยชน์กัน เขาเจือจานกัน โลกใช้พลังงานร่วมกัน นี่ก็เหมือนกัน นั่นเป็นเรื่องของโลก แต่นี่เป็นเรื่องของใจเรา จักรวาลเห็นไหม เวลาเกิดทุกคนมีอำนาจวาสนาตรงนี้ แล้วถ้ามีธรรม เราจะควบคุมมัน ควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะ พุทโธบ่อยครั้งเข้า มันสงบมากสงบน้อยนี่เราตั้งสติไป “น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน”

สิ่งที่มันมีแรงขับดันในหัวใจนี่มันเป็นกิเลส ถ้าเราตั้งสติขึ้นมา มันจะสงบไม่ได้ให้มันรู้ไป นี้ถ้ามันสงบไม่ได้นะ ถ้ามันสงบไม่ได้เพราะเราไม่มีความรู้พอ เราก็คิดว่าเราทำถูกต้องทุกอย่างหมด เพราะทุกคนก็ต้องว่าตัวเองทำถูกหมดล่ะ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านจะแนะนำ เห็นไหม ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ กำลังมันมากเกินไป ก็ทำจิตให้สงบไม่ได้ เพราะจิต พลังงานตัวนี้มันมีกำลัง

เหมือนกับเกิดแผ่นดินไหว เกิดพายุรุนแรงขึ้นมา เราจะให้มันคงที่ ให้มันหยุดนิ่งได้ไหม โลกมันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เราต้องทอนกำลังมันใช่ไหม เราต้องรอจังหวะ รอเวลาที่กระแสลมมันเบาลง ทุกอย่างเบาลง แล้วเราควบคุมให้มันเป็นปกติได้ไหม จิตต้องควบคุมเป็นปกติจริงไหม นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมากับใจ มันติดในอะไร กินมากเกินไป นอนมากเกินไป โม้มากเกินไป คุยทั้งวันเกินไป เห็นไหม ! แล้วมันจะสงบได้ไงล่ะ

ครูบาอาจารย์ท่านบังคับ ขอนิสัยเวลาภิกษุบวชใหม่ไง ภิกษุบวชใหม่ต้องขอนิสัยครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคอยบอกวิธีการ นี่การขอนิสัย นิสัยของสมณะ แล้วนิสัยของคฤหัสถ์ นิสัยของโลก นิสัยของความเป็นคฤหัสถ์ นิสัยของสมณะ นิสัยของครูบาอาจารย์ของเรา เพราะท่านเห็นภัยในวัฏสงสาร การกระทำอย่างนั้นเหมือนเด็กมันเสพยาเสพติด มันก็ต้องติดเป็นธรรมดา นี่ก็เหมือนกัน เราลองใช้ชีวิตอย่างนั้นมันก็ต้องติดเป็นธรรมดา พอติดเป็นธรรมดา ทำไมไม่ตัดทอนมันล่ะ การตัดทอนเพราะเราเห็นประโยชน์มันใช่ไหม

เราเห็นประโยชน์เพื่อเราต้องการความสงบของใจ เราถึงละเว้นเห็นไหม อดนอน ผ่อนอาหาร มักน้อยสันโดษ แต่โลกเขาว่า “มักน้อยสันโดษ มันจะมีความสุขได้อย่างไร” มันต้องเสพสุขมันถึงจะมีความสุขไง ! แต่มีความสุขก็สุขของกิเลสไง ! กิเลสมันหลอกเราแล้วน่ะ นี่ไง ปรากฏการณ์ของกิเลส มันก็มีอำนาจเหนือกว่าเรา ปรากฏการณ์ของธรรมนี่ต้องเห็นผล ครูบาอาจารย์ท่านก็เห็นผลมาแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ไป ผลจะเป็นอย่างนี้

แต่ถ้าเชื่อครูบาอาจารย์เห็นไหม เพราะจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งต่อมาพระอัญญาโกณฑัญญะ ส่งต่อมาเรื่อยๆ ไง แล้วมันก็เป็นทางวิชาการ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง แล้วครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง จริงคือความเป็นจริง ! จริงของจริง ! จริงคือจริง ! ถ้ามันไม่จริง โกหกมดเท็จ ! ผลของมันก็เป็นเรื่องของความเพ้อเจ้อ

ถ้าครูบาอาจารย์ของเราไม่จริง ท่านพูดขึ้นมาน่ะเราพิสูจน์สิ ท่านบอกให้ทำตามนั้น แล้วถ้ามันไม่ได้ครูบาอาจารย์ก็ต้องหลอกสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปหลอกใคร ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลอกเห็นไหม ธุดงควัตรมันอยู่ที่ไหน ธุดงค์ ๑๓ มันอยู่ที่ไหน ศีลในศีลไง ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสนะ

สิ่งที่พระภิกษุบวชมา ศีล ๒๒๗ ผิดไม่ได้ เป็นอาบัติทั้งนั้น อาบัติหนักอาบัติเบาต้องปรับตามอาบัตินั้น ธุดงควัตรไม่ได้ปรับนะ ดูที่ความสมัครใจไง นี่ศีลในศีล ผู้ที่สมัครใจทำ นี่ไง เพราะเราเห็นผลใช่ไหม ครูบาอาจารย์เราท่านเห็นผลมาใช่ไหม ถึงได้ฉันมื้อเดียว ฉันอาสนะเดียว บิณฑบาตเป็นวัตรต่างๆ นี่ธุดงควัตร ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสเห็นไหม

นี่มักน้อยสันโดษ ไอ้ทางกิเลสก็บอก “มักน้อยสันโดษมันจะมีความสุขได้อย่างไร มักน้อยสันโดษแล้วมันจะมีผลอะไรในการปฏิบัติ” มีผลในการปฏิบัตินะ กินมากมันก็นอนอิ่ม กินอุ่นนอนอิ่มนะ กิเลสมันก็ตัวใหญ่ๆ แล้วจะประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร

นี่พูดถึงนิสัย พูดถึงผู้ที่เห็นการกระทำของจิต จิตมันมีปรากฏการณ์ของมัน มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แล้วถ้าเราเริ่มผ่อนมันๆ มันก็ดิ้นรน มันดิ้นรนนะ มันไม่พอใจหรอก พอไม่พอใจเราก็ล้มลุกคลุกคลานสู้มันไม่ได้

แต่ถ้าครูบาอาจารย์บอกว่า “ทำไป ! ตั้งสติให้ดี ทำไป !” ถ้าทำอย่างนั้นไปนะ ปรากฏการณ์มันเกิดขึ้นมา ปรากฏการณ์ของศีล ปรากฏการณ์ของสมาธิเกิดกับใจของเรา ปรากฏเกิดกับใจ นี่ไง สันทิฏฐิโก ! รู้จากใจ มันจะครบไง เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านบอกว่า เวลาปฏิบัติไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้หมดแล้ว มีผู้รู้เดินนำหน้าไปแล้ว นี่เหมือนกัน ถ้าปรากฏการณ์ของใจเราเกิดขึ้นมา มันจะซึ้งใจมาก

นี่ไง พระป่า พระปฏิบัติเรามันถึงติดครูติดอาจารย์ตรงนี้ไง ติดครูอาจารย์เหมือนคนตาบอดให้คนตาดีจูงไป คนตาดีถ้าเดินไปบนถนน มันจะไม่พาเราตกถนน ไม่พาเราไปเผชิญกับสิ่งเลวร้าย แต่ถ้าเป็นคนตาบอดจูงคนตาบอดมันจะจูงกันไปไหนล่ะ เพราะคนตาบอดมันไม่รู้หรอกข้างหน้าจะมีอะไรมันก็ตำไปทั่วล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา ปรากฏตามความเป็นจริง ! ไม่ใช่ปรากฏตามความเป็นเท็จ ! ถ้าปรากฏตามความเป็นเท็จมันก็วนกันอยู่นั่นน่ะ โคนำฝูงก็พาฝูงโคนั่นลงทะเล ลงแม่น้ำโน่น ตายหมดเลย ตายจากโอกาสไง.. ตายจากชีวิตนี้ไง..

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ต้องมีการตายเป็นที่สุด แล้วก็ปรากฏการณ์เป็นเท็จมันก็เป็นความโป้ปดมดเท็จ ปฏิบัติก็ปฏิบัติกันเป็นเท็จๆ ปฏิบัติกันเป็นพิธีกรรมเฉยๆ เห็นไหม ถ้าปฏิบัติไม่เป็นพิธีกรรม ทำไมไม่ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจไม่สงบจะเอาอะไรไปวิปัสสนามัน ถ้าไม่เห็นโลกของตัว ไม่เห็นภวาสวะ ไม่เห็นชื่อที่อยู่ของกิเลส จะเอาอะไรไปชำระล้างมัน เราจะจับเสือไม่เข้าถ้ำเสือมันจะเอาเสือที่ไหน คูหาของใจเห็นไหม แล้วอวิชชามันอยู่ในนั้นน่ะ แล้วเราไม่หาคูหาของใจ เราไปตะปบตื่นกับเงา

“นี่ศึกษาธรรมๆ วิปัสสนาสายตรงใช้ปัญญา.. ปัญญาตรงๆ..”

โลกียปัญญา ปัญญาของกิเลสนะ...

แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา มันจะเห็นความเปลี่ยนแปลงนะ ความเปลี่ยนแปลงที่จิต ที่มันเกิดจากอาการของจิต ปัญญาที่เกิดจากอาการของจิต มันเป็นปัญญาเกิดจากเงา เกิดจากพลังงานของใจ ไม่ใช่ตัวใจ แล้วถ้ามันหดเข้ามา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังปฏิเสธ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามสิ่งนี้ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตามบุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณที่รู้อดีต รู้อนาคต แต่ดึงกลับมาที่ปัจจุบันธรรม แล้วทำลายกิเลสมา

นี่ไง แล้วจิตของเราเดี๋ยวนี้มันเป็นอดีต อนาคตไหม มันฟุ้งซ่าน มันคิดของมันร้อยแปด แล้วปัญญาสายตรงน่ะเป็นปัญญาของเราเหรอ ปัญญาที่มันตรึกขึ้นมามันเป็นอาการของใจ แล้วถ้ามันปล่อยเข้ามา มันปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา มันแค่ปล่อยพลังงานในใจเท่านั้นเอง... มันปล่อยพลังงานในใจ มันยังไม่ได้ชำระกิเลสเลย นี่ไง นี่ปรากฏการณ์เป็นเท็จ

ถ้าปรากฏการณ์เป็นเท็จ คำสอนนั้นก็เท็จ แล้วในการประพฤติปฏิบัติเรามันก็ได้สิ่งที่เป็นเท็จๆ ขึ้นมา พอเท็จขึ้นมาผลของมันก็คือ... ชอกช้ำ เพราะเราจะตายไปข้างหน้า

เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นกิเลสมันก็กวาดเข้ามาไว้ในหัวใจนั่นน่ะ มันซุกไว้ใต้พรมไง นี่หินทับหญ้าไว้ แล้วเวลาทำสมาธินี่ก็บอกหินทับหญ้าไว้ เวลาใครทำความสงบของใจ พุทโธๆ เป็นสมาธินี่หินทับหญ้าไว้ หินทับหญ้าในปรากฏการณ์อันหนึ่งนะ กับตัวของจิตนี่ มันต้องเข้าไปถึงตัวของจิต มันไม่ใช่เป็นหินทับหญ้าไว้

หินทับหญ้าไว้นี่นะ เราใช้ปัญญาของเรา ว่าปัญญานี้เป็นวิปัสสนา แต่มันเป็นการผ่อนคลายพลังงานเฉยๆ หินทับหญ้าไว้เพราะไม่ได้ทำลายสิ่งใดๆ เลย โลกนี้ยังอยู่เต็มใบ โลกนี้ก็คือโลกยังอยู่ธรรมชาติของมัน

แต่ขณะที่กำหนดพุทโธๆ มันเข้าไปถึงแกนของโลก ถ้าแกนของโลกมันได้ขยับนะ จักรวาลเห็นไหม ดูสิ พระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ถ้ามันได้เปลี่ยนแปลงมุมของมัน เปลี่ยนแปลงองศาของมัน จักรวาลนี้เปลี่ยนไปหมดนะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามาตามความเป็นจริงของมันนะ ตามความเป็นจริง ต้องจิตสงบเข้ามา กำหนดพุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง

แล้วถ้าเปลี่ยนแปลงแล้ว วิปัสสนาขึ้นมาโดยใช้ปัญญานะ จิตสงบแล้วใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ มันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เกิดจากแกนของโลก แกนของจักรวาล แกนของพระอาทิตย์ แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงของมันน่ะ เปลี่ยนแปลงเพราะอะไร เพราะมันเห็นผิด มันเห็นว่ากายนี้เป็นของเรา มันเห็นว่าจักรวาลนี้เป็นของมันไง โลกนี้หมายถึงว่า สิ่งที่อยู่บนโลกนี่เป็นของเราไง เวลามันหมุนไปเห็นไหม ดูสิ มันย่อยสลายของมันไปตลอด มันเป็นของเราไหมล่ะ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วมันก็เวียนไป

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันต้องเกิดต้องตายมันก็เป็นธรรมดาของมัน ถ้ามันออกวิปัสสนาอย่างนี้ มันปล่อยวางอุปาทาน ปล่อยวางสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด นี่ไงเพราะมันเห็นผิด ! ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ ในการประพฤติปฏิบัติผิด ในปรากฏการณ์มันเป็นสิ่งที่ผิดขึ้นมา มันก็มีความเห็นผิด

แต่เพราะโลก แต่เพราะความเป็นจริง เพราะมันสื่อสารกันด้วยสัญชาตญาณ เป็นตรรกะ เป็นความเห็น ทุกคนเข้าใจได้แค่นี้ไง ทุกคนไม่มีเครื่องมือที่จะเจาะเข้าไปในแกนของโลก ทุกคนไม่มีสัมมาสมาธิ ! ทุกคนไม่มีสัจจะความจริง !

ถ้าสัจจะความจริงแล้ว ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ.. ครูบาอาจารย์เราต้องบอกว่า “ต้องทำจิตให้สงบเข้ามาก่อน” ไม่มีครูบาอาจารย์องค์ไหนปฏิบัติบอกว่า “ให้ปฏิบัติไปเลย..” ถ้าปฏิบัติไปเลยมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะมันก็เพื่อเข้าไปแกนของโลกนั่นแหละ มันอันเดียวกัน แต่เพราะผู้ปฏิบัติเป็นพิธีกรรมไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าการใช้ปัญญานี้เป็นปัญญาแล้วไง นี่เป็นวิปัสสนาแล้ว

การวิปัสสนาเห็นไหม นี่ไงปรากฏการณ์ความเป็นเท็จ พอปรากฏการณ์ความเป็นเท็จนะ แล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหน ปรากฏการณ์ของอาการของใจ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่แกนของใจ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ตามความเป็นจริงอันนั้น

ถ้ามันปรากฏการณ์ตามความเป็นจริงอันนั้น เราต้องย้อนกลับ เห็นไหม ภิกษุใหม่ ในการประพฤติปฏิบัติใหม่ ถือนิสัยครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านบอกให้ทำจิตสงบเข้ามา ด้วยการทำจิตสงบเข้ามามันมีหลากหลายวิธีการ กรรมฐาน ๔o ห้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสสติ พุทโธๆๆ ปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม สิ่งนี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม สภาวธรรม ! ธรรมที่มันเกิด ความคิดนี่เป็นสภาวธรรมนะ

เพราะความคิดไม่ใช่จิต ความคิดนี่เป็นเปลือกโลก พลังงานที่สะสมอยู่ในโลก พลังงานที่สะสมอยู่ที่แกนของมัน ที่มันขยับให้เกิดแผ่นดินไหวได้เห็นไหม นี่ไง ความคิดเป็นเปลือกของโลก ! พลังงานมันเป็นพลังงานอันหนึ่ง นี้ความคิดมันถึงไม่ใช่ใจไง ความคิดเป็นความคิด พลังงานเป็นพลังงาน ถ้าใช้ความคิดนี้มันพิจารณาไป มันพิจารณาของมันไป มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นเปลือกของโลก มันไม่ใช่ตัวพลังงานที่สะสมอยู่ในโลกนั้น ! ไม่ใช่ตัวพลังงาน ! ตัวจิตเห็นไหม

ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจะเข้าไปถึงตัวพลังงานนั้น เพราะอะไร เพราะเรารู้จริง มันเป็นปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง ดูสิ ดูเราเจาะไปสิ ดูเขาเจาะน้ำมันกันเห็นไหม เขาจะเอาพลังงานในใต้พื้นโลกออกมาใช้ นี่ก็เหมือนกัน เราเจาะเรารู้ว่าเราเจาะ เราเจาะเข้าไปที่เปลือกโลก เราไม่ได้ทำลายโลก แต่ถ้าเป็นปรากฏการณ์อันเป็นเท็จเห็นไหม มันเข้าใจว่ามันได้ทำลายโลก พอได้ทำลายโลก สติการกระทำมันถึงได้ผิดพลาด

แต่ถ้าเราเป็นการเจาะเข้าไปเพื่อเอาพลังงานอันนั้น นี่ปัญญาอบรมสมาธิมันมีปัญญา มันมีสติ มันรู้งาน รู้หน้าที่ รู้ว่านี่คือการเจาะเข้าไปเพื่อเอาพลังงานมาใช้ประโยชน์ แต่ถ้ามันเป็นปรากฏการณ์ของความเป็นเท็จ มันเข้าใจว่ามันได้ทำลายโลกแล้วไง มันได้ทำลายปรากฏการณ์ของโลก เห็นไหม

โลกคืออะไร โลกคือภวาสวะ โลกคือภพ โลกคือกิเลส ถ้าทำลายกิเลสนั้น กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ภพ โลกเห็นไหม

เปลือกของโลกมี ๔ ชั้น เหมือนมะพร้าว ถ้าเราพิจารณาเราปอกเปลือกมะพร้าวเป็นโสดาบัน เราพิจารณาถึงกะลามะพร้าว เป็นสกิทาคา เราพิจารณาเข้าไปถึงเนื้อมะพร้าว เป็นอนาคา เราคิดเข้าไปถึงใจมะพร้าวทำลายมันหมดเลย เห็นไหม มะพร้าวทั้งใบย่อยสลายหมด แล้วมันเหลืออะไร สิ่งที่เหลือ.. เหลือวิมุตติสุข เหลือธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

ในพระไตรปิฎก พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอุบาลี กับอีก ๒ องค์ เถียงกันอยู่ที่สวนมะพร้าวเห็นไหม สิ่งที่เป็นจริตนิสัย พระสารีบุตรบอกว่าปัญญาเลิศที่สุด พระโมคคัลลานะบอกว่าฤทธิ์เลิศที่สุด พระอุบาลีบอกวินัยเลิศที่สุด วินัย.. ถ้าไม่มีวินัย สงฆ์จะอยู่กันได้อย่างไร สงฆ์อยู่ได้ด้วยวินัย มีสิ่งใดต้องตัดสินกันด้วยธรรมวินัย พระสารีบุตรบอกใช้ปัญญาอย่างเดียว ปัญญาทำให้เข้าไปชำระกิเลส พระโมคคัลลานะ ฤทธิ์นี่เจโตวิมุตติ ใช้กำหนดพุทโธๆ กำหนดเข้าไปถึงแกนของโลก แล้วระเบิดกลางแกนของโลกเลย ทำลายทั้งหมดเลย

นี่พูดกันแล้วคุยกันแล้วสรุปลงไม่ได้ เพราะต่างองค์ต่างเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ทำลายมะพร้าวลูกนั้น เปลือกของโลกที่เป็น ๔ ขั้นตอน ทำลายได้หมดแล้ว จูงมือกันไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า “ข้าพเจ้าคุยกันอยู่เรื่องความถนัดของแต่ละองค์ แล้วลงกันไม่ได้ จะมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตัดสิน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สิ่งใดที่ประเสริฐที่สุด สิ่งใดมีคุณค่ามากกว่ากัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไปที่อาสวักขยญาณ ! ย้อนกลับไปที่สิ่งที่ทำลายโลก” ไม่ใช่ทำลายโลกวิมุตติสุขแล้ว.. ทำลายโลกแล้วเหลืออะไร ทำลายโลกแล้วนะ

นี่ไงมนุษย์มีกายกับใจ ทำลายภวาสวะ ทำลายอวิชชา ทำลายภพทั้งหมดแล้ว เหลืออะไร “สอุปาทิเสสนิพพาน” สิ่งที่จิตมันทำลายแล้วเห็นไหม สิ่งที่ว่าพระอรหันต์มีหรือไม่มีนี่ไง เพราะพระอรหันต์มีอยู่ ได้ทำลายโลกแล้ว ทำลายสิ่งที่เป็นที่รองรับอารมณ์ เป็นที่ตั้งของความคิด เป็นที่ตั้งทุกๆ อย่าง มันทำลายหมดแล้ว มันเหลืออะไร “สอุปาทิเสสนิพพาน” เห็นไหม อนุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตไป เพราะมันทำลายตั้งแต่ปัจจุบันแล้วใช่ไหม เราใช้หนี้ทุกๆ อย่างหมดแล้วใช่ไหม เราจะไปแบบสะดวกสบาย เราจะไม่ติดสิ่งใดๆ เลย

แต่ในปัจจุบันของเรา เราเป็นปุถุชน เรามีข้อมูลทั้งหมด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ มีพลังงาน มีขันธ์ ๕ คือความคิด คือสามัญสำนึก มีธาตุ ๔ คือร่างกาย มีพลังงาน คือตัวภพที่มันเป็นอวิชชา นี่ตัวภพเห็นไหม “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา ต่อไปนี้เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดอีกไม่ได้เลย..” เพราะมันไม่มีที่ตั้ง มันไม่มีสิ่งที่เป็นฟอสซิลเห็นไหม

สิ่งที่เป็นฟอสซิลที่เขาใช้วิทยาศาสตร์พิสูจน์กันว่า มันนานกี่ล้านๆ ปี สิ่งที่สะสมลงที่ใจ สิ่งที่เกิดในภวาสวะ สิ่งที่เป็นบุญเป็นกรรมที่มันสะสมอยู่บนภพอันนี้ ถ้ามันไม่ทำลายตรงนี้มันเป็น “จุตูปปาตญาณ” เพราะมันมีแรงขับ เพราะมันยังมีสถานที่ เพราะมันมีปฏิสนธิจิตมันถึงต้องไปเกิดอีกเห็นไหม พอทำลายสิ่งนี้หมดแล้ว ทำลายถึงการตกผลึกของใจ การตกผลึกข้อมูลที่อยู่ในใจ ทั้งๆ ที่การตกผลึกอันนี้ ในการกระทำในมรรคญาณมันก็เป็นธรรมอันหนึ่งที่เกิดขึ้นมา แล้วทำลายตัวมันเองหมดสิ้นเห็นไหม สิ่งที่ทำลายไปแล้ว นี่ไง สิ่งที่เหลืออยู่นี่วิมุตติสุข ที่ว่าอยู่เป็นสุขมันมาจากไหน มันมาจากหัวใจของเรานะ ธรรมที่สัมผัสได้ สัมผัสตามความเป็นจริง ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงนั้น มันต้องมีเหตุมีผล มีการกระทำ มีมรรคญาณ

เวลาพระอรหันต์ ๕ องค์เห็นไหม มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอุบาลีกับอีก ๒ องค์นั้น พระอรหันต์ทั้งหมดนะ ความถนัดของตัว สิ่งที่ตัวถนัด สิ่งที่ตกผลึกมาในใจที่สร้างมา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะนี่สร้างมาเป็นพระอัครสาวกเห็นไหม สิ่งที่สร้างมา สิ่งที่ตกผลึกในหัวใจ ข้อมูลในหัวใจ มันมีมากกว่า มีต่างๆ ก็ถนัดไปคนละอย่าง

เวลาเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม กรรมฐาน ๔o ห้อง พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ มรณานุสสติ นึกถึงความตายก็ได้ นึกถึงสัจธรรมความระลึกอยู่ นี่เป็นกรรมฐาน ๔o ห้อง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นได้ทั้งสมถะ คือถ้าปัจจุบันนี้เราใช้วิปัสสนาของเรา เราใช้ปัญญาของเรา มันเป็นสมถะ ก็เหมือนเรากำหนดพุทโธ เรากำหนดต่างๆ เห็นไหม เป็นสมถะ คือว่าเราจะเข้าไปถึงพลังงานอันนั้น

แต่ด้วยความเข้าใจผิดเห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา พอเราไปคิดใคร่ครวญเราว่าเป็นวิปัสสนาไง นี่ไง มันผิดตรงนี้ ผิดเห็นไหม ผิดที่ว่าผิดเพราะอะไร ผิดเพราะเราตั้งต้นผิด เราตั้งเป้าหมายไว้ผิด แต่ถ้ามันถูกเห็นไหม นี่สัมมาทิฏฐิ เรากำหนดเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราใช้เป็นคำบริกรรม ผลของมันก็คือเป็นสมถะ เป็นสมถะมันก็มีสติ มีสติมันก็เป็นสัมมาสมาธิ

แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ เราบอกว่า เราวิปัสสนาแล้ว วิปัสสนามันก็ต้องการให้ปล่อยกิเลส ให้เป็นความว่างใช่ไหม มันก็ปฏิเสธ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่องไปเรื่อยๆ แล้วก็ปฏิเสธไป มันเลยทิ้งราก ทิ้งพลังงานตัวนั้น พอทิ้งพลังงานตัวนั้นมันก็ว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีความสัมผัส ไม่มีการยึดเหนี่ยว ไม่มีการเกี่ยวโยงกัน สาแหรกของใจหายไป นี่ไง มันถึงไม่เป็นสัมมาไง มันถึงบอก “นี่ไงนิพพานว่างๆ สิ่งนี้เป็นวิปัสสนาสายตรง..” เห็นไหมปรากฏการณ์เป็นเท็จ กับปรากฏการณ์ที่เป็นธรรม

ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงอีกกรณีหนึ่ง ปรากฏการณ์ที่เป็นเท็จ ผลของมันนะ เราจะลังเลสงสัย เราจะมีข้อมูลในหัวใจที่ตกผลึกด้วยความลังเล ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถ้าปรากฏการณ์ของธรรม มันเป็นสัจธรรมใช่ไหม มันเป็นความจริงใช่ไหม เพราะปรากฏการณ์ของธรรมแล้วเราถนอมรักษา เป็นศีล สมาธิ ปัญญา แล้วรวบรวมขึ้นมา ให้ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริง มันจะถอนอุปาทาน

“กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์” เห็นไหม “ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕” สักกายทิฏฐิถอนเห็นไหม ปรากฏการณ์ตามความเป็นจริง ทึ่งมาก... ทึ่งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วซึ้งใจมาก แล้วมันเป็นได้ในหัวใจของเรา ปรากฏการณ์ของสกิทาคาเห็นไหม กายกับจิตแยกจากกันโดยธรรมชาติ ว่างหมดเลย ว่างโดยความรู้จริงนะ ไม่ใช่ว่างโดยปรากฏการณ์เป็นเท็จ ปรากฏการณ์เป็นเท็จน่ะได้ข้อมูลเท็จๆ ว่างอย่างไร ว่างไม่มีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม ปรากฏการณ์อย่างนี้มันเป็นสกิทาคามี

ปรากฏการณ์ของอสุภะ ปรากฏการณ์ของกามราคะ มันจะย้อนเข้าไปถึงปรากฏการณ์อันนั้น แล้วทำลายกันนะ ทำลายปฏิฆะกามราคะ ข้อมูลของจิต กามฉันทะ สิ่งต่างๆ มันทำลายครืนในหัวใจทั้งหมดเลย จิตนี้ผ่องแผ้ว พลังงานนี้ผ่องแผ้ว เพราะมันเป็นจิตเดิมแท้ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จับตัวจิตเดิมแท้นั้น

เหมือนมะพร้าวเห็นไหม ที่ว่ามะพร้าว เปลือกมะพร้าว กะลามะพร้าว เนื้อมะพร้าว ใจมะพร้าวเห็นไหม จิตเดิมแท้คือใจมะพร้าว แล้วเอาสิ่งที่ละเอียด เพราะใจมะพร้าวนี่มันอยู่ในกะลามะพร้าวที่เราจับได้ยากมากนะ แล้วพอจับได้พลิกฟ้าคว่ำดิน สิ้นกระบวนการของปรากฏการณ์จริง

ธรรมะปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนี้ รู้จริงอย่างนี้ เข้าใจจริงอย่างนี้ มันถึงเป็นปรากฏการณ์ของธรรม ที่เราประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริง ให้เป็นคุณสมบัติของเรา

อย่าเชื่อ อย่าเชื่อนะ “กาลามสูตร” อย่าเชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เขาคิดกันว่าปรากฏการณ์เท็จนั้นจะเป็นความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้หมดแล้วนะ ปฏิบัติแบบโลกๆ เราจะเอาจริงกันนะ เราเกิดมาชาติหนึ่ง มีชีวิต ได้ออกมาประพฤติปฏิบัติ ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเห็นไหม พุทธะ ศาสนาแห่งปัญญา แต่ต้องเป็นปัญญาธรรม อย่าให้เป็นปัญญากิเลส ปัญญาเท็จๆ อย่างนั้น เอวัง